Margin call (การโทรขอมาร์จิ้น) คือคำขอจากโบรกเกอร์ให้นักลงทุนเพิ่มเงินสดหรือหลักทรัพย์ในบัญชีมาร์จิ้นของตน เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดมาร์จิ้นขั้นต่ำ โดยทั่วไปแล้ว ข้อกำหนดมาร์จิ้นขั้นต่ำคือเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าหลักทรัพย์ที่ถือครองที่ต้องวางหลักประกันในบัญชีมาร์จิ้น
เมื่อราคาหลักทรัพย์ในตลาดลดลง มูลค่าของหลักทรัพย์ที่ถือครองในบัญชีมาร์จิ้นอาจลดลงด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้มูลค่าหลักประกันลดลงต่ำกว่าข้อกำหนดมาร์จิ้นขั้นต่ำ ในกรณีนี้ โบรกเกอร์จะส่ง margin call ไปยังนักลงทุนเพื่อขอให้พวกเขาเพิ่มเงินสดหรือหลักทรัพย์ในบัญชีมาร์จิ้นของตน
หากนักลงทุนไม่ตอบสนองต่อการเรียกมาร์จิ้น โบรกเกอร์อาจดำเนินการปิดตำแหน่งในบัญชีมาร์จิ้นของนักลงทุน ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนสูญเสียเงินทุน
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างบางส่วนของสาเหตุที่นักลงทุนอาจได้รับ margin call:
- ราคาหลักทรัพย์ในตลาดลดลงอย่างรุนแรง
- นักลงทุนทำกำไรจากตำแหน่งที่ถือครอง
- นักลงทุนเพิ่มภาระผูกพันในบัญชีมาร์จิ้นของตน
นักลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงของ margin call ก่อนเปิดบัญชีมาร์จิ้น สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจข้อกำหนดมาร์จิ้นขั้นต่ำของโบรกเกอร์ และควรมีเงินสดหรือหลักทรัพย์เพียงพอในบัญชีมาร์จิ้นเพื่อตอบสนองต่อการเรียกมาร์จิ้น
ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับบางประการในการหลีกเลี่ยง margin call:
- ใช้บัญชีมาร์จิ้นอย่างระมัดระวัง
- เข้าใจข้อกำหนดมาร์จิ้นขั้นต่ำของโบรกเกอร์
- มีเงินสดหรือหลักทรัพย์เพียงพอในบัญชีมาร์จิ้นเพื่อตอบสนองต่อการเรียกมาร์จิ้น
Margin (มาร์จิ้น) คือบริหารความเสี่ยงของคุณอย่างระมัดระวัง
ในบริบทของการซื้อขาย มาร์จิ้นคือเงินสดหรือหลักทรัพย์ที่นักลงทุนต้องฝากกับโบรกเกอร์เพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มเติม มาร์จิ้นช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อหลักทรัพย์ได้มากกว่าที่พวกเขาจะมีเงินสดได้ ซึ่งสามารถเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรได้ แต่ก็มีความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน
อัตรามาร์จิ้นคือเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าหลักทรัพย์ที่ถือครองที่นักลงทุนต้องวางหลักประกันในบัญชีมาร์จิ้น อัตรามาร์จิ้นโดยทั่วไปจะแตกต่างกันไปตามประเภทของหลักทรัพย์และโบรกเกอร์
ตัวอย่างเช่น หากอัตรามาร์จิ้นสำหรับหุ้นคือ 50% นักลงทุนจะต้องฝากเงินสดหรือหลักทรัพย์มูลค่า 50% ของมูลค่าของหุ้นที่ซื้อ ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนซื้อหุ้นมูลค่า 10,000 บาท พวกเขาจะต้องฝากเงินสดหรือหลักทรัพย์มูลค่า 5,000 บาทในบัญชีมาร์จิ้นของตน
เมื่อราคาของหลักทรัพย์ในตลาดเพิ่มขึ้น มูลค่าของหลักทรัพย์ที่ถือครองในบัญชีมาร์จิ้นจะเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้นักลงทุนสามารถปิดตำแหน่งในบัญชีมาร์จิ้นของตนได้โดยไม่ต้องเพิ่มเงินทุนเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม หากราคาของหลักทรัพย์ในตลาดลดลง มูลค่าของหลักทรัพย์ที่ถือครองในบัญชีมาร์จิ้นอาจลดลงด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้มูลค่าหลักประกันลดลงต่ำกว่าข้อกำหนดมาร์จิ้นขั้นต่ำ ในกรณีนี้ โบรกเกอร์จะส่ง margin call ไปยังนักลงทุนเพื่อขอให้พวกเขาเพิ่มเงินสดหรือหลักทรัพย์ในบัญชีมาร์จิ้นของตน
หากนักลงทุนไม่ตอบสนองต่อการเรียกมาร์จิ้น โบรกเกอร์อาจดำเนินการปิดตำแหน่งในบัญชีมาร์จิ้นของนักลงทุน ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนสูญเสียเงินทุน
นักลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงของ margin call ก่อนเปิดบัญชีมาร์จิ้น สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจอัตรามาร์จิ้นของโบรกเกอร์ และควรมีเงินสดหรือหลักทรัพย์เพียงพอในบัญชีมาร์จิ้นเพื่อตอบสนองต่อการเรียกมาร์จิ้น
ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับบางประการในการหลีกเลี่ยง margin call:
- ใช้บัญชีมาร์จิ้นอย่างระมัดระวัง
- เข้าใจอัตรามาร์จิ้นของโบรกเกอร์
- มีเงินสดหรือหลักทรัพย์เพียงพอในบัญชีมาร์จิ้นเพื่อตอบสนองต่อการเรียกมาร์จิ้น
- บริหารความเสี่ยงของคุณอย่างระมัดระวัง
นอกจากนี้ มาร์จิ้นยังใช้ในบริบทอื่น ๆ ของการเงิน เช่น ในการคำนวณกำไรหรือขาดทุนของหุ้น และในการกำหนดราคาของสัญญาซื้อขายล่วงหน้า