การหยุดการซื้อขาย (Stop out) คือการปิดสถานะการซื้อขายโดยอัตโนมัติเมื่อราคาหลักทรัพย์ถึงระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า การหยุดการซื้อขายมักใช้เพื่อจำกัดการสูญเสียหรือป้องกันไม่ให้สูญเสียเงินทุนทั้งหมด
การหยุดการซื้อขายประเภททั่วไปมีดังนี้:
- Stop loss: คำสั่งหยุดการซื้อขายเพื่อปิดสถานะการซื้อขายเมื่อราคาหลักทรัพย์ถึงระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนจำกัดการสูญเสียหากราคาหลักทรัพย์เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ไม่พึงประสงค์
- Stop gain: คำสั่งหยุดการซื้อขายเพื่อปิดสถานะการซื้อขายเมื่อราคาหลักทรัพย์ถึงระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนทำกำไรหากราคาหลักทรัพย์เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการ
- Trailing stop: คำสั่งหยุดการซื้อขายที่ย้ายตามราคาหลักทรัพย์โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนจำกัดการสูญเสียหรือปกป้องผลกำไร
การหยุดการซื้อขายเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนในการจำกัดความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความเสี่ยงของการหยุดการซื้อขายด้วย หากราคาหลักทรัพย์เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเกินระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า การหยุดการซื้อขายอาจไม่สามารถทำงานได้ตามที่คาดไว้
ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับบางประการในการใช้การหยุดการซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพ:
- กำหนดระดับการหยุดการซื้อขายอย่างรอบคอบ
- ใช้การหยุดการซื้อขายร่วมกับกลยุทธ์การซื้อขายอื่นๆ
- ทดสอบการหยุดการซื้อขายของคุณในบัญชีทดลองก่อนใช้บัญชีจริง
Long position (สถานะซื้อ) คืออะไร
สถานะซื้อ (Long position) คือสถานะการซื้อขายที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าราคาหลักทรัพย์จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เมื่อนักลงทุนซื้อหลักทรัพย์ พวกเขากำลังยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อซื้อหลักทรัพย์และสัญญาที่จะซื้อคืนในภายหลังในราคาที่สูงกว่า
หากราคาหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น นักลงทุนสามารถทำกำไรได้จากความแตกต่างระหว่างราคาที่ซื้อและราคาที่ขายคืน ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนซื้อหุ้นมูลค่า 100 บาท และราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 120 บาท นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ 20 บาท
อย่างไรก็ตาม หากราคาหลักทรัพย์ลดลง นักลงทุนจะขาดทุนจากความแตกต่างระหว่างราคาที่ซื้อและราคาที่ขายคืน ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนซื้อหุ้นมูลค่า 100 บาท และราคาหุ้นลดลงเหลือ 80 บาท นักลงทุนจะขาดทุน 20 บาท
สถานะซื้อมักใช้โดยนักลงทุนที่คาดการณ์ว่าราคาหลักทรัพย์จะเพิ่มขึ้นในอนาคต สถานะซื้อสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายสถานะซื้อด้วย
ต่อไปนี้เป็นความเสี่ยงบางประการของสถานะซื้อ:
- ราคาหลักทรัพย์อาจลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้นักลงทุนขาดทุน
- นักลงทุนอาจต้องเพิ่มเงินทุนเพิ่มเติมในบัญชีของตนหากราคาหลักทรัพย์ลดลงต่ำกว่าข้อกำหนดมาร์จิ้นขั้นต่ำ
- นักลงทุนอาจถูกบังคับให้ขายหลักทรัพย์ของตนในราคาที่ต่ำกว่าที่พวกเขาซื้อ
นักลงทุนควรตระหนักถึงความเสี่ยงของสถานะซื้อก่อนเปิดสถานะซื้อ
Technical analysis (การวิเคราะห์ทางเทคนิค) คืออะไร
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) คือการศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น หุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ อัตราแลกเปลี่ยน โดยใช้ข้อมูลราคาในอดีต เพื่อคาดการณ์แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต
การวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้หลักการที่ว่าราคาสินทรัพย์ทางการเงินสะท้อนถึงข้อมูลข่าวสารทั้งหมดที่มีอยู่ในตลาด ดังนั้น นักวิเคราะห์ทางเทคนิคจึงเชื่อว่าพวกเขาสามารถคาดการณ์แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้โดยการระบุรูปแบบและแนวโน้มของราคาในอดีต
เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่ แผนภูมิราคา ดัชนีทางเทคนิค และตัวชี้วัดทางเทคนิค แผนภูมิราคาเป็นเครื่องมือพื้นฐานสำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยช่วยให้นักวิเคราะห์สามารถมองเห็นรูปแบบและแนวโน้มของราคาในอดีต
ดัชนีทางเทคนิคและตัวชี้วัดทางเทคนิคเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักวิเคราะห์สามารถวัดปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับราคา เช่น ปริมาณการซื้อขาย แรงซื้อ แรงขาย และระดับความผันผวน
การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุนและนักเก็งกำไร อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงข้อจำกัดของการวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่สามารถรับประกันการคาดการณ์ที่ถูกต้องได้ และนักลงทุนควรใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมกับปัจจัยอื่นๆ ในการตัดสินใจซื้อขาย
ข้อจำกัดบางประการของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่:
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่สามารถคาดการณ์เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง เช่น สงคราม วิกฤตเศรษฐกิจ หรือการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคอาจไม่สามารถคาดการณ์แนวโน้มในระยะยาวได้
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคอาจถูกใช้โดยนักลงทุนรายอื่น ทำให้สัญญาณทางเทคนิคไม่ถูกต้อง
นักลงทุนควรศึกษาและเข้าใจการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างรอบคอบก่อนใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการตัดสินใจซื้อขาย